Categories
Facebook Ads Google Ads โฆษณาโรงแรม

วางกลยุทธ์โฆษณา Google Ads และ Facebook Ads เพื่อโปรโมทโรงแรมยังไงดี?

การทำโฆษณาออนไลน์เพื่อโปรโมทโรงแรม ทั้งบน Google และ Facebook ต่างก็เป็นการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพทั้งคู่ แต่เราจะเลือกใช้โฆษณาตัวไหน ให้เหมาะกับธุรกิจของโรงแรม บางคนอาจจะบอกว่า ทำโฆษณาบน Facebook ดีกว่า เพราะใครๆก็เล่นเฟสบุ๊กและใช้งานกันตลอดเวลา แต่บางคนก็บอกว่า ทำโฆษณาบน Google ดีกว่า เพราะไม่ว่าคนจะค้นหาอะไรก็ต้องเสิร์จจาก Google ก่อนเป็นอันดับแรก

แต่ก่อนที่เราจะสรุปว่าจะใช้ช่องทางไหนดีกว่ากัน ระหว่าง Google หรือ Facebook สิ่งสำคัญคือโรงแรมควรพิจารณาว่าช่องทางไหนมีจุดเด่นอย่างไร เหมาะกับเป้าหมายแบบไหน ซึ่ง DirectYourBookings ขอแนะนำวิธีการทำโฆษณาออนไลน์ให้โรงแรมคุณได้วางแผนกันคร่าวๆ ด้วยกลยุทธ์ดังนี้ค่ะ

1. ทำโฆษณา Google Ads เพื่อสร้างยอดขาย

การทำโฆษณา Google ads โดยตัวหลักจะเป็นการโฆษณาที่เรียกว่า Search Engine Marketing เป็นการทำโฆษณาด้วยคำค้นหา หรือ keywords เมื่อมีคนค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นๆ จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น คนที่กำลังค้นหาคำว่า ‘โรงแรมในสมุย’ แสดงว่าเค้ากำลังสนใจที่จะจองโรงแรมในสมุยอยู่ โดยโฆษณาจะแสดง Headline และ Description ที่ดึงดูดลูกค้าให้สนใจคลิกโฆษณา และพาลูกค้าไปยังหน้าเว็บไซต์โรงแรม

google ads โรงแรมในสมุย
โฆษณาใน Google เมื่อมีการค้นหาคำว่า “โรงแรมในสมุย”

การทำโฆษณา Google จึงเป็นการโปรโมทโรงแรมที่เข้าถึง Potential customer ซึ่งแน่นอนว่ามีโอกาสที่ปิดการขายได้มากเลยทีเดียวค่ะ ช่วยให้โรงแรมคุณมียอด bookings เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน.

2. ทำโฆษณา Facebook Ads เพื่อโปรโมทโรงแรมไปยังลูกค้าใหม่ สร้าง Brand awareness และ Generate demand

ในส่วนของการทำโฆษณา Facebook ads จะต่างกับโฆษณาบน Google ตรงที่ Facebook Ads ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ด แต่จะสามารถสร้างรูปแบบโฆษณาได้หลากหลาย ทั้งรูปภาพ และวีดีโอ โดยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากเพราะมีจำนวนผู้ใช้มหาศาล ด้วยการกำหนด target ตามโลเกชั่น เพศ อายุ ความสนใจ เป็นต้น โดยที่ facebook จะนำโฆษณาไปแสดงบนหน้าฟีดของกลุ่มเป้าหมาย สร้างการรับรู้แบรนด์ และโปรโมทโรงแรมไปยังลูกค้าใหม่ให้เป็นที่รู้จัก

เมื่อโฆษณาเป็นที่น่าสนใจ กระตุ้นความต้องการ คนเหล่านั้นที่เห็นโฆษณาก็อยากจะมีส่วนร่วม เช่น โรงแรมโฆษณาโปรโมชั่นห้องพักบน facebook เมื่อมีคนเห็นก็จะสนใจ กดไลค์และแชร์ไปยังกลุ่มเพื่อน ชวนกันไปเที่ยว เป็นการสร้างให้ user เกิดความต้องการนั่นเองค่ะ

3. ทำโฆษณาซ้ำ Facebook Retargeting เพื่อติดตามว่าที่ลูกค้า

คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ ดูเพจโรงแรม หรือ engage โพสต์โดยการกดไลค์กดแชร์ แน่นอนว่ากว่า 80% ที่จะยังไม่จองโรงแรมตั้งแต่ครั้งแรก การทำ Retargeting โฆษณาซ้ำไปยังคนกลุ่มนี้ จะช่วยย้ำให้เค้าไม่ลืมโรงแรมคุณ และการทำ Facebook Retargeting นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าเทียบกับการทำ Google Retargeting ซึ่งมีรูปแบบที่จำกัด

ด้วยรูปแบบการทำโฆษณาที่หลากหลายของ facebook ทั้งรูปภาพและวีดีโอ ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจในการจองห้องพักได้ดีเลยทีเดียวค่ะ

กลยุทธ์ Retargeting สำหรับโรงแรม ยังมีเทคนิคอื่นๆที่นำมาใช้ร่วมกัน ช่วยให้คุณไม่พลาดที่จะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับมาจองโรงแรมคุณอย่างแน่นอน

สรุป:

ใช้กลยุทธ์ “สร้างแบรนด์ด้วย Facebook Ads และปิดการขายด้วย Google Ads” สำหรับธุรกิจโรงแรม จะช่วยให้การทำโฆษณาออนไลน์ทั้งสองช่องทางทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้กลุ่มเป้าหมายที่ได้จากการทำโฆษณาทั้งสองช่องทาง ยังนำมาพัฒนาร่วมกันเพื่อให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในแคมเปญอื่นได้แม่นยำยิ่งขึ้นอีกด้วย


𝘿𝙧𝙞𝙫𝙚 𝙈𝙤𝙧𝙚 𝘽𝙤𝙤𝙠𝙞𝙣𝙜𝙨 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝘿𝙞𝙜𝙞𝙩𝙖𝙡 𝙈𝙖𝙧𝙠𝙚𝙩𝙞𝙣𝙜 𝙛𝙤𝙧 𝙝𝙤𝙩𝙚𝙡𝙨

วางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจโรงแรมของคุณ ไม่ว่าจะโรงแรมเล็ก โรงแรมใหญ่ วิลล่า โฮลเทล หรือเกสต์เฮาส์ DirectYourBookings เราพร้อมให้คำแนะนำกับคุณ ฟรี!!

Categories
กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล การตลาดโรงแรม

7 กลยุทธ์ Lead-Magnets สำหรับโรงแรม

กลยุทธ์โรงแรม 7 ตัวอย่างการทำ Lead-Magnets แม่เหล็กดึงดูดคนให้กลายมาเป็นลูกค้าสำหรับโรงแรม คำว่า “Lead” ในความหมายทางการตลาด คือ “ว่าที่ลูกค้าของโรงแรม” หรือคนที่มีโอกาสจะจองโรงแรมบนเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง โดยกลุ่มคนเหล่านี้คือคนที่แสดงความสนใจต่อสิ่งที่เรานำเสนอบนเว็บไซต์ เช่น คลิกสมัครรับข่าวสารจากทางโรงแรม เป็นต้นเราจะเปลี่ยนจากผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ กลายไปเป็นผู้จองห้องพักหรือลูกค้าของโรงแรมได้อย่างไร…

วันนี้ Direct Your Bookings มีเคล็ดลับการทำ Lead-Magnets กลยุทธ์ที่จะดึงดูดคนให้กลายมาเป็นลูกค้าของโรงแรม มาฝากกันค่ะ

1. ทำแผนที่การเดินทางท่องเที่ยวให้ลูกค้าไว้ใช้งาน (TRAVEL ITINERARY)

ออกแบบ Itinerary ท่องเที่ยวบน Google Map โดยใช้ฟีเจอร์ลับ(ที่ไม่ลับ) ‘Your Places’ สร้างลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ (POIs) ในโลเกชั่นใกล้เคียงไว้สำหรับลูกค้าของโรงแรมวิธีการสร้างแผนที่ท่องเที่ยวแบบ step-by-step ใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาที คลิกที่นี่: http://bit.ly/DYB-Itinerary

PRO Tip >> สร้างสรรค์โปรแกรมที่น่าสนใจด้วยข้อมูลแบบฉบับของคนท้องถิ่นและสถานที่ลับๆที่น้อยคนจะรุ้จัก

2. คู่มือภาษาท้องถิ่นที่ควรรู้สำหรับนักท่องเที่ยว

คำเหล่านี้นอกจากจะประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการนำเสนอสิ่งที่นักท่องเที่ยวกำลังตามหา และนำเสนอได้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ”ราคาเท่าไหร่” ภาษาเหนือพูดยังไง “อร่อย” ภาษาอีสานพูดยังไง How to say “Hello/Thank you” in Thai.

PRO Tip >> นอกจากจะเป็นประโยชน์แล้ว นักท่องเที่ยวยังสนุกกับการได้พูดภาษาท้องถิ่น ทำให้เป็นเรื่องสนุกและเหนือกว่าคำพื้นฐานด้วยคำอื่นๆที่น่าจดจำ

3. แบบทดสอบสนุกๆ (QUIZ)

 "[จังหวัด/เมืองของคุณ] คือจุดหมายปลายทางสำหรับทริปหน้าของคุณจริงหรือไม่? มาหาคำตอบจากแบบทดสอบนี้กันเลย"

ตั้งคำถามให้คนอยากรู้ เรื่องลับๆที่อยากหาคำตอบ แล้วครีเอทแบบทดสอบที่สนุกๆ

PRO Tip >> ท้ายแบบทดสอบ คุณอาจจะใช้วิธีการให้ผู้เล่นกรอกอีเมล์เพื่อดูคะแนนจากนักท่องเที่ยวทั้งหมด (คนส่วนใหญ่ชอบเปรียบเทียบ) วิธีนี้จะทำให้แบบทดสอบของคุณมีความท้าทายให้เล่น (คนส่วนใหญ่ชอบความท้าทายเช่นกัน)

4. แผนที่ร้านอาหารแนะนำ

อันดับแรก ลิสต์ประเภทร้านอาหารที่มีในพื้นที่ของคุณก่อน เช่น อาหารพื้นบ้าน, อาหารไทย, อาหารทะเล, อาหารอินเดีย, อาหารมังสวิรัติ เป็นต้น จากนั้นเลือกร้านเด็ดเพียง 1 ร้านจากแต่ละประเภท แล้วสร้างแผนที่รวมร้านอาหารแนะนำทุกร้านที่คุณสิลต์มาไว้บน Google Maps (ทำเช่นเดียวกับ lead-magnet 1)

PRO Tip >> ให้ข้อมูลร้านอาหารแบบสั้นๆ พร้อมจุดเด่นของแต่ละร้านที่คุณเลือกว่าทำไมร้านนี้คุณเชื่อว่าดีที่สุด อย่าลืม! ใส่โรงแรมคุณในแผนที่ร้านอาหารแนะนำนี้ด้วยให้ลูกค้ารู้ว่าแต่ละร้านห่างจากโรงแรมคุณเท่าไหร่

5. คูปองสำหรับลูกค้าใหม่ (1st-time visitors)

จากสถิติ 97% ของผู้ใช้จะยังไม่เปลี่ยนเป็นลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรก ดังนั้นแทนที่คุณจะรุกให้คนทำการจองโรงแรมคุณในเวลาที่เค้ายังไม่พร้อม คุณควรมอบข้อเสนอพิเศษ (ที่ใช้ได้จริง) ให้เค้ากลับมาจองโรงแรมคุณทีหลัง เช่น แจกโค้ดส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่ กลยุทธ์โรงแรมตัวนี้ ใช้ได้ดีเสมอ

PRO Tip >> จะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นลูกค้าใหม่? มีหลายตัวช่วยที่สามารถแทรคได้ว่าใครเป็นลูกค้าใหม่ของคุณบนเว็บไซต์ โดยคุณอาจจะลงทุนเพียงเล็กน้อย (เช่น if-so) หรือเพียงแค่ติดตั้ง cookie โดยทำผ่าน Google Tag Manager ที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชม. เป็นต้น

6. ไกด์บุคท่องเที่ยว (PDF)

"10 สถานที่สุดโรแมนติคใน [จังหวัดของคุณ]"
"10 กิจกรรมสุดหรรษาสำหรับครอบครัว ใน[จังหวัดของคุณ]"

คุณอาจจะเขียนบล็อกท่องเที่ยวบนเว็บไซต์โรงแรมและทำเป็นไฟล์ pdf ให้ดาวน์โหลดได้

PRO Tip >> เมื่อผู้ใช้อ่านบทความหรือดาวน์โหลดบทความจากทั้ง 2 บทความตัวอย่าง นั่นหมายความว่าผู้ใช้ได้แสดงตัวตนและความสนใจของเค้าออกมา จงใช้ข้อมูลนี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำ retargeting

7. พันธมิตรร่วม (EXCLUSIVE 3RD-PARTY BENEFIT)

หาพาร์ทเนอร์ร่วมในพื้นที่ของคุณ เช่น ร้านอาหาร คาเฟ่/บาร์ แหล่งท่องเที่ยว จุดเช็คอิน อะไรก็แล้วแต่ โดยให้คูปองกับลูกค้าที่จองโรงแรม เป็นส่วนลดเมื่อไปใช้บริการสถานที่นั้นๆ ร้านค้าเหล่านั้นก็จะได้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์ร่วมกันกับทางโรงแรม อย่าลืมใช้อำนาจการต่อรองนี้เพื่อให้ได้ดีลที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าบนเว็บไซต์ของโรงแรม

PRO Tip >> ต้องมั่นใจว่าเหล่าพาร์ทเนอร์ของคุณนั้นมีสิทธิพิเศษให้เฉพาะโรงแรมคุณเท่านั้น ไม่ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับคู่แข่งหรือโรงแรมอื่นอีกมากมาย

Lead Magnets เป็นกลยุทธ์โรงแรมที่ทรงพลังที่ทำให้เกิดการตอบรับแบบต่างตอบแทน ซึ่งการตอบรับนี้มีศักยภาพ เป็นตัวโน้มน้าวที่กระตุ้นให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์ของคุณรู้สึกอยากตอบแทนอะไรบางอย่างกลับไป นั่นก็คือผู้ใช้เหล่านี้จะทำการจองโรงแรมของคุณในท้ายที่สุดนั่นเอง

เคล็ดลับปิดท้าย

Lead-magnet โดยปกติจะเป็นการแจกของฟรีตอบแทน แลกกับการขออีเมล์ผู้ใช้งานแต่อย่างไรก็ดี การขออีเมล์ยังมีอุปสรรค ผู้ใช้งานที่มีโอกาสเป็นลูกค้าบางคนก็ละทิ้งไปอีกทางเลือกก็คือ (เหมือนที่เขียนไว้ในหัวข้อ 6) คุณแจก Lead-magnets ให้กับผู้ใช้งานโดยไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนอีเมล์ แล้วทำ retargeting โดยใช้ Google หรือ Facebook เพื่อเรียกผู้ใช้งานเหล่านั้นกลับมายังเว็บไซต์โรงแรมของคุณ ให้เข้าสู่การเรียกลูกค้าในส่วนอื่นๆตามที่แนะนำไว้ข้างต้น

source: directyourbookings.com