Categories
การตลาดโรงแรม

5 วิธีสร้าง tracffic ให้เว็บไซต์โรงแรม (และเพิ่มยอดจอง)

หากคุณเป็นเจ้าของโรงแรม ผู้บริหาร หรือคนทำงานโรงแรม ที่กำลังพยายามหาวิธีในการเพิ่ม traffic จำนวนคนเข้าเว็บไซต์โรงแรมของคุณ แล้วยังพบกับปัญหาเดิมๆคือ ไม่ว่าจะ search หาข้อมูลยังไง คุณจะเจอแต่บทความที่ต่างพูดถึงวิธีการเดียวกันแบบเดิมๆ ซ้ำๆกันตลอดเวลา เช่น
ปรับปรุงเว็บไซต์โรงแรมของคุณให้เป็น Responsive หรือ Mobile friendly”
“โปรโมทบน social media ตาม Facebook, IG หรือ Tik Tok
“ออกโปรโมชั่นหรือแพ็กเก็จราคาที่ต่างจาก OTAs

เราเลยอยากนำเสนอเทคนิคและกลยุทธ์ใหม่ๆ ที่จะช่วยเพิ่ม traffic ให้กับเว็บไซต์โรงแรมคุณได้แน่นอน มันอาจจะเป็นกลยุทธ์ที่คุณไม่ได้ให้ความสำคัญมาก่อน หรือมองข้ามไปเลยด้วยซ้ำ แต่รับรองว่าเทคนิคที่เราเอามาบอกคุณนั้น มันใช้งบประมาณน้อยมาก หรืออาจจะไม่ต้องลงทุนเลยก็ได้ แถมยังประหยัดเวลาในการทำงานให้คุณอีกด้วยค่ะ

เริ่มกันตั้งแต่เบสิค เมื่อคนค้นหาชื่อโรงแรมคุณบน search engine

แน่นอนว่า เวลาคนจะค้นหาข้อมูลอะไรก็แล้วแต่ จะต้อง search หาใน Google กันก่อนเลย เมื่อมีคน search ชื่อโรงแรมของคุณใน Google search bar ผลลัพท์ที่แสดงขึ้นมาอันดับแรกคือ Google Map Pack หรือบางทีก็เรียกว่า Google Pack หรือ Map Pack เฉยๆ โดย Map Pack จะแสดงโปรไฟล์พร้อมโลเกชั่นบน Google Map ของธุรกิจต่างๆ เช่น โรงแรม ร้านอาหาร สปา เป็นต้น ที่มีอยู่ในบริเวณใกล้เคียง

ทุกครั้งที่คน search ชื่อโรงแรม ในผลลัพธ์ที่ Google แสดงขึ้นมานั้น จะช่วยให้คุณได้ traffic ไปยังโรงแรมของคุณ 4 ช่องทางด้วยกัน คือ

  • ลิงค์ Website
  • เบอร์โทรศัพท์
  • Google HPA (Hotel Price Ads)
  • Google Free Booking Links
4 paths to revenue

ในข้อ 4 เมื่อคนคลิกที่ View more rates กูเกิ้ลจะแสดงผลลัพธ์หน้า Free Booking Links ตามรูปด้านล่าง ซึ่งลิงค์กับเว็บไซต์โรงแรม

free-booking-links

ข้อ 2 เป็นการลงโฆษณาใน Hotel Ads (ซึ่งคุณต้องเสียเงิน) ส่วนอีก 3 ข้อนั้นฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ

เว็บไซต์และเบอร์โทรศัพท์ของโรงแรม ระบบจะดึงมาจากข้อมูลใน Google Business Profile ที่เดิมชื่อว่า Google My Business หรือที่เรียกกันว่า GMB (ถ้าโรงแรมคุณยังไม่ได้ทำ Google Business Profile เราแนะนำอย่างยิ่งว่าคุณควรจะทำตอนนี้เลยค่ะ และถ้าคุณต้องการผู้ช่วยติดต่อเรามาได้เลย)

เทคนิคเพิ่มเติมที่อยากบอก

อย่างแรก ให้คุณเพิ่ม utm_source parameter ที่ url เว็บไซต์ที่ลิงค์ใน Business Profile เช่น www.yourhoteldomain.com ใส่เป็น www.yourhoteldomain.com?utm_source=GMB

ซึ่งคุณจะสามารถ track จำนวนการคลิกเข้าเว็บไซต์โรงแรมได้ว่าคุณได้ traffic ผ่านช่องทาง GMB หรือ Business Profile มากน้อยแค่ไหน

อย่างที่สอง เบอร์โทรศัพท์ที่ใส่ใน Business Profile หรือ GMB นั้น ต้องเป็นเบอร์ติดต่อตรงไปยังในแผนก Reservations ไม่ใช่เบอร์กลางที่ต้องผ่านโอเปอเรเตอร์ หรือต้องกดเบอร์ภายในอีกที ให้พยายามตัดขั้นตอนที่ยุ่งยากให้ลูกค้าของคุณเข้าถึงโรงแรมได้ง่ายที่สุดนะคะ เพราะ User Experience เป็นเรื่องที่สำคัญมากในยุคนี้

ทีนี้เรามาเข้าสู่เทคนิคและกลยุทธ์ที่อยากแนะนำกันเลยค่ะ

1. Retargeting Promotion การทำแคมเปญ Retargeting โดยให้ส่วนลดพิเศษโดยเฉพาะ

เราคงเคยได้ยินกันเสมอว่า การที่จะทำให้ลูกค้าใหม่ซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งแรกนั้นยากกว่าการทำให้ลูกค้าเก่ากลับมาซื้อซ้ำถึง 3 เท่า

เช่นเดียวกับคนที่จะจองโรงแรมตั้งแต่เข้าเว็บไซต์ทันทีในครั้งแรก เทียบกับคนที่เคยเข้าเว็บไซต์มาแล้วนั้น ย่อมเป็นไปได้ยากกว่า

แทนที่คุณจะกดดันและคาดหวังว่าคนจะจองห้องพักโรงแรมของคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้าในเว็บนั้น คุณควรจะอดทนรอและตั้งเป้ากับ first-time visitors ของคุณไว้ว่า เมื่อเค้าพร้อมที่จะจอง เค้าจะกลับมาเอง

โดยที่คุณจะต้องใช้กลยุทธ์ที่ดึงดูดลูกค้า และยื่นข้อเสนอแบบจำกัดเวลาให้เค้ากลับมาจองโรงแรมคุณภายในเวลาที่กำหนด เช่น ส่วนลดพิเศษ เมื่อจองภายในสิ้นเดือนนี้ สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าใหม่ หรือบริการเสริมที่ first-time visitors เค้าอาจจะยังไม่เห็นตอนที่เค้าเข้าเว็บไซต์โรงแรมในครั้งแรก

discount-retargeting
ตัวอย่างโรงแรมที่ให้ส่วนลด Promotion code ในแคมเปญ Retargeing ที่โฆษณาไปยังกลุ่มคนที่เคยเข้าขมเว็บไซต์ของโรงแรมมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่ทำการจอง

ส่วนลดที่คุณนำเสนอลูกค้า ไม่จำเป็นต้องเป็น % หรือมูลค่าสูงแบบในตัวอย่างเสมอไป คุณอาจจะให้ส่วนลดเพียงแค่ 5% กับลูกค้าใหม่ในแคมเปญ Retargeting ก็ได้ เพราะมันจะเป็นที่น่าสนใจมากกว่าที่คุณแค่ยิงโฆษณาตามหลอนลูกค้าโดยที่ไม่ให้อะไรตอบแทนในการที่เค้าจะตัดสินใจเป็นลูกค้าของคุณ

2. เข้าร่วมกลุ่ม/ชุมชนใน Facebook Group

ลองดูตัวอย่างโพสต์ใน Facebook Group นี้

ในเฟซบุ๊กมีกลุ่มที่คนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน มาร่วมกลุ่มกัน เพื่อแลกเปลี่ยนหรือสอบถามไอเดียกับคนในกลุ่มเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการท่องเที่ยว ที่กิน ที่พัก ที่มีทั้งคนที่อยากจะแชร์และคนที่อยากจะถาม

อย่างในตัวอย่าง เค้าต้องการคำแนะนำเรื่องที่พักในกระบี่ ซึ่งโพสต์แบบนี้ถือเป็นโอกาส ถ้าหากว่าโรงแรมเข้าร่วมกลุ่มนี้ โรงแรมจะสามารถนำเสนอห้องพักให้สมาชิกคนนี้ได้ รวมทั้งโพสต์นี้มีคนเข้ามาคอมเมนต์เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งเข้ามาบิดสู้เลยก็ว่าได้

ที่สำคัญคือ ทุกวันนี้การคอมเมนต์ด้วยคำว่า “Book Now, Come to Us, Stay with Us, Super Deal” หรือคำโฆษณาต่างๆในทำนองที่ว่า “Buy Now Buy Now Buy Now” มันไม่ค่อยจะเหมาะสมกับชุมชนออนไลน์ซักเท่าไหร่

ลองย้อนกลับไปดู caption อีกที “Looking for suggestions” ซึ่งเค้าต้องการคำแนะนำจากคนในกลุ่ม ดังนั้นถ้าคุณเข้าไปมีส่วนร่วมกับ discussion นี้ในฐานะโรงแรม ก็เพียงแค่คอมเมนต์ตอบเพื่อให้คำแนะนำกับสมาชิกในกลุ่มแทนการที่จะมุ่งแต่ขายห้องพัก

และที่สำคัญที่สุด คุณต้องทำความเข้าใจอีกครั้งว่าในแพลตฟอร์มของ Social Media นั้นก็มีจุดประสงค์เพื่อให้คน(ทั้งเป็นเพื่อนกันและไม่ได้เป็นเพื่อนกัน) เข้ามามีส่วนร่วมกันในชุมชนออนไลน์ มี engagement และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ไม่ใช่แพลตฟอร์มเพื่อการขายตั้งแต่แรก

3. ลงทุนโปรโมทโพสต์เพื่อเพิ่มยอด engagement

ลองสมมุติดูว่า คุณได้ลงโพสต์ใน Facebook Page ของโรงแรมไว้ 2 โพสต์ด้วยกัน จนผ่านไป 3 วันคุณเช็คจำนวน engagement ในทั้งสองโพสต์ของโรงแรมแล้วพบว่า

  • Post A มียอดไลค์ 7 Likes และมี 1 คอมเมนต์
  • Post B มียอดไลค์ 100 Likes และมี 50 คอมเมนต์

เห็นได้ชัดว่าโพสต์ B ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ปัญหาก็คือมีเพียงแค่คนที่กดไลค์เพจโรงแรมแล้วเท่านั้นที่ได้เห็นโพสต์นี้ แล้วทีนี้คุณควรทำยังไงต่อดี? เพื่อให้คนเห็นโพสต์โรงแรมอันสวยงามของคุณ

ก็จัดการโปรโมทโพสต์ของโรงแรมคุณเลยค่ะ บูสต์โพสต์ให้คนเห็นมากที่สุด (แต่การ boost post ที่ว่านี้คุณจะต้องทำใน Facebook Ads Manager นะคะ ไม่ควร boost จากหน้าเพจโดยตรง เพราะนั่นเป็นวิธีการที่ง่าย แต่มันเป็นวิธีการที่คุณจะได้คนที่เข้ามา engage โพสต์ของคุณนั้นไม่ใช่กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แท้จริงค่ะ)

แล้วยิ่งถ้าโพสต์นี้มี call-to-action ที่ลิงค์ไปที่หน้าเว็บไซต์ของโรงแรมเช่น หน้า blog, gallery หรือหน้า promotion แล้วล่ะก็ มันเป็นการสร้าง traffic ที่มีคุณภาพให้กับเว็บไซต์ของโรงแรมคุณโดยตรง ที่ทั้งง่ายและเซฟงบค่าโฆษณาอีกด้วย ลงทุนครั้งเดียวได้ผลลัพธ์ถึงสองทาง

4. สร้างบล็อกที่มีคุณภาพ

ก่อนอื่นขอถามคุณก่อนว่า เวลาที่คนตัดสินใจมาเที่ยวในพื้นที่ของโรงแรมคุณนั้น นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะเค้าเลือกจากโรงแรมคุณ หรือเค้าเลือกจากสถานที่ท่องเที่ยว

แน่นอนล่ะว่าโรงแรมคุณสวย น่าพัก แต่จริงๆแล้วคนที่เลือกเดินทางมายังพื้นที่ที่โรงแรมคุณตั้งอยู่นั้น เป็นเพราะนักท่องเที่ยวต้องการมาเที่ยวชมสถานที่และความสวยงามของพื้นที่นั้นๆ หรือนักธุรกิจที่ต้องการมาติดต่องานในจังหวัดนั้นเป็นหลัก

การเขียนบล็อคที่นำเสนอคอนเทนต์เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยว หรือจังหวัดที่โรงแรมคุณตั้งอยู่ จึงเป็นการตลาดอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญในการนำเสนอข้อมูลที่คนค้นหาและต้องการ เมื่อคนค้นหาข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวแล้วเค้าเข้ามาอ่านโพสต์ในเว็บไซต์โรงแรมคุณ นั่นคือคุณได้ traffic ให้เว็บโรงแรมไปเต็มๆค่ะ

ถ้าคุณอยากได้ตัวอย่างแนวทางในการเขียนคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของโรงแรมว่าควรเขียนอย่างไร ให้มีประสิทธิภาพและช่วยสร้าง traffic ให้เว็บไซต์โรงแรมได้อย่างมีคุณภาพ สามารถดูตัวอย่างนี้ได้เลยค่ะ

5. ของรางวัลล่อใจเพื่อสร้าง social proof

ลองดูตัวอย่างนี้นะคะ

decoy-option

นี่เป็นหน้า homepage ของเว็บไซต์โรงแรมแห่งหนึ่ง

เราลองถามคุณดูเล่นๆว่า ระหว่างคำว่า “Book Early & Save Up to 15%!” กับตัวอย่างในเว็บนี้ “Want to win a Stay?” อันไหนมันน่าดึงดูดใจกว่ากันคะ

จริงอยู่ว่าส่วนลด 15% มันก็น่าสนใจไม่น้อยเลยใช่มั้ยคะ แต่ขอพูดตรงๆว่าข้อความพวกนี้มันน่าเบื่อแล้วจริงมั้ย โรงแรมทั่วโลกเกือบทั้งหมดก็ใช้โปรโมชั่นเดียวกันเพื่อต้องการให้คนจองห้องพักล่วงหน้า แล้วมันจะพิเศษกว่ากันตรงไหน?

แต่คุณก็อาจจะแย้งกลัวว่า คุณไม่ต้องการแจกห้องพักฟรี ใช่หรือเปล่า

แล้วถ้ามันมีลูกเล่นพิเศษที่จะทำให้คุณอยากแจกห้องพักฟรีล่ะ คุณจะสนใจบ้างมั๊ย?

อย่างเช่นว่า “แชร์ประสบการณ์ที่คุณได้รับจากการพักที่โรงแรมนี้บนโซเชียลมีเดีย และหากเพื่อนของคุณจองห้องพักผ่านลิงค์ในโพสต์ของคุณ 3 bookings ขึ้นไป คุณจะได้รับรางวัลห้องพักฟรี 2 คืน”

ลองคิดดูว่า คุณจะได้ยอดจองเพิ่มอีก 3 bookings แลกกับการแจกห้องพักฟรีให้กับลูกค้าคนที่รีวิวที่พักให้คุณ มันจะน่าสนใจขึ้นบ้างมั้ย

ห้องพักฟรีที่คุณให้กับลูกค้านั้น อาจจะเป็นห้องพิเศษที่ใช้สำหรับโปรโมทโรงแรมโดยเฉพาะ ไม่เพียงแค่คุณได้ลูกค้าที่เคยมาพักโปรโมทห้องให้คุณแล้ว ยังสามารถจูงใจลูกค้าใหม่ให้มาจองโรงแรมของคุณ และลูกค้าใหม่ที่มาพักแล้ว เค้าก็ยังจะอยากแชร์ห้องพักต่อไปอีก เพราะมีโอกาสที่เค้าจะได้รับห้องพักฟรีจากการแชร์ต่อๆไปอีกเช่นกัน

ลองนึกภาพตามดูว่า ถ้ามีการโพสต์และจองต่อกันไปเรื่อยๆแบบนี้แล้ว เรียกว่าคุ้มหรือเปล่าคะกับการแจกห้องพักฟรีแทนการทำโปรโมชั่นส่วนลดแบบเดิมๆ

ฟังดูแล้วเข้าท่าใช่มั้ยล่ะคะ

สรุปส่งท้าย

มีเทคนิคและกลยุทธ์การตลาดหลายอย่างสำหรับโรงแรมที่ OTAs ทำไม่ได้ มีเพียงแค่โรงแรมเท่านั้นที่จะนำไปปรับใช้ได้ เพื่อเรียก traffic และเพิ่มยอดจองตรงให้กับโรงแรม

กลยุทธ์ที่ทางเรานำเสนอไว้ให้ข้างบน คุณสามารถเอาไปปรับใช้ได้ทั้งหมด โดยที่บางเทคนิคใช้งบเพียงนิดเดียวหรือบางเทคนิคก็ไม่ต้องลงทุนอะไรเลย

ถึงเวลาที่ทุกอย่างจะกลับมาปกติแล้ว อย่ามัวรีรอ รีบวางแผนและลงมือสร้าง traffic ให้เว็บไซต์โรงแรมของคุณให้คึกคัก ก่อนที่คู่แข่งของคุณเค้าจะช้อนเอา bookings ไปกันหมด

เริ่มกันเลยค่ะ

Categories
Google Ads โฆษณาโรงแรม

Google Ads สำหรับโรงแรม – กรณีศึกษา จากโฆษณาที่สูญเงินให้กลายเป็นสร้างยอดรายได้

ถ้าคุณค้นหากรณีศึกษาใน google เกี่ยวกับการทำแคมเปญ Google ads สำหรับโรงแรมโดยเฉพาะ คุณจะไม่เจอบทความเกี่ยวกับเคสพวกนี้เลย

อันที่จริงมันเป็นเพราะคุณหามันไม่เจอ ไม่ใช่ว่ามันไม่มีเคสหรอก
เพราะอะไรนะเหรอคะ?

เพราะโรงแรมไม่ต้องการที่จะเปิดเผยข้อมูลที่เป็นส่วนตัว โดยเฉพาะปัญหาภายในที่ต้องได้รับการแก้ไข (ใครจะอยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองผิดพลาด จริงมั้ยล่ะ?)

เลยเป็นเรื่องยากที่จะมีใครเอาเคสตัวอย่างของตัวเองมาโชว์ให้คนอื่นเห็น… แต่ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้

เราเลยใช้โอกาสนี้ ที่ได้เราได้ทำการ audit บัญชี google ads ของลูกค้า มายกเป็นกรณีศึกษา Google ads for hotels เพื่อแบ่งปันเทคนิคกันค่ะ โดยเราขอซ่อนชื่อจริงของโรงแรมนี้ไว้ โดยเราขอตั้งชื่อใหม่ที่แสนเก๋ว่า Atalanta Hotel

แต่รับรองว่าข้อมูลทุกอย่างที่เอามาแชร์ เช่น คีย์เวิร์ด, search term และ data ที่แสดงผล เป็นข้อมูลและตัวเลขจริงแท้แน่นอน

มาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าโรงแรม atalanta สามารถพลิกจากการสูญเงินค่าโฆษณาให้กลับกลายมาเป็นสร้างรายได้ให้กับโรงแรมได้อย่างไร?

ที่มา

เมื่อต้นเดือนมิ.ย 2021 ที่ผ่านมา เราได้รับอีเมล์ฉบับนึง ส่งมาด้วยข้อความที่แบบ copy/paste มาเลยที่เดียว ว่า

“Hi Ale,
[…] We’ve just noticed that PPC performance for [hotel name] has been very poor in recent months, […] to the point where they spent about $670 in April and only made about $485.
We're losing money on Ads.”

ข้อมูลเพิ่มเติมคือ:

  • โรงแรมนี้อยู่ที่ชิคาโก้ สหรัฐอเมริกา
  • โรงแรมระดับ 4 ดาว
  • โลเกชั่นดีเยี่ยม ตั้งอยู่ใจกลางเมือง

การตรวจเช็คข้อมูลเบื้องต้น

ถึงแม้ว่า ค่าโฆษณา (Ad spend) ที่โรงแรมจ่ายไปจะต่ำมาก ($670/เดือน ตกประมาณเดือนละ 22,000 บาท) แต่ยอดรายได้ที่ได้รับกลับมาจากแคมเปญ Google Ads ก็ยังต่ำกว่านั้นไปอีก เพียงแค่ 485 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 16,000 บาท) เท่านั้นเอง!!!

ลองนึกภาพตามนะคะ…ใช่แล้วค่ะ โรงแรมกำลังสูญเงินไปกับค่าโฆษณา

แต่รู้มั้ยคะ อันที่จริงหลายๆครั้งที่เจอกับปัญหาในลักษณะนี้ มักเกิดจากปัญหาทางด้านเทคนิคในการตั้งค่าการวัดผล ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เป็นตัวเลข

การตั้งค่าทางเทคนิคอาจประกอบด้วย 2 แง่มุมที่แตกต่างกัน ซึ่งมันเป็นคำตอบสำหรับคำถามต่อไปนี้:

  • bookings ทั้งหมด ที่เกิดขึ้นจริง ได้ถูกบันทึกในคอนเวอร์ชัน (Conversions) ใน Google Ads ครบมั้ย?
  • การตั้งค่า attribution model เลือกใช้แบบไหน?

attribution model หรือ รูปแบบการระบุที่มาของ conversion ที่เกิดขึ้นในแคมเปญ เป็นหัวใจสำคัญที่บอกได้ว่า ทำไมสองแคมเปญที่เหมือนกันจึงอาจส่งผลให้ยอดรายได้ในแคมเปญโฆษณานั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในเคสนี้ การตั้งค่ารูปแบบการระบุที่มาของ conversion ที่เกิดการจอง bookings นั้นไม่ได้มีปัญหา

รวมทั้งเรายังไม่พบปัญหาที่มีผลกับการแทรคข้อมูลธุรกรรม (หรือรายได้) ที่ตกหล่นไป จากแคมเปญโฆษณา Google Ads

พูดง่ายๆก็คือ แคมเปญดูดี ไม่ได้มีปัญหาอะไร

แล้วแบบนี้ โรงแรมกำลังสูญเสียรายได้ จริงหรือเปล่า?

การวิเคราะห์

เรามาเริ่มวิเคราะห์ด้วยการดู report จาก Google Analytics โดยเปรียบเทียบข้อมูล 2 เดือน

  • April 2021 กับ November 2020

ในอีเมล์ที่ส่งหาเรานั้นแจ้งว่า เดือนเม.ย 2021 เป็นเดือนที่วิกฤติ ส่วนเดือนพ.ย 2020 นั้นเป็นเดือนสุดท้ายที่ performance ยังปกติดี

google-analytics-channels-report
Report ใน Universal Analytics: Acquisition > All Traffic > Channels
  • มี traffic เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นได้จากใน report เส้นสีน้ำเงิน และเส้นสีส้ม มีตัวเลขที่ใกล้เคียงกันในช่วงครึ่งเดือนแรกทั้งสองเดือน ส่วนในครึ่งเดือนหลัง เส้นสีน้ำเงินนั้นมีตัวเลขที่เพิ่มขึ้น
  • ตัวเลขรายได้ (Revenue) สูงขึ้นถึง 76% ในเดือนเม.ย 2021

ดังนั้น จาก report นี้จะเห็นได้ว่า โรงแรมนั้นไม่ได้สูญเสียรายได้

จริงๆแล้วตัวเลขข้างบนยังสามารถบอกอะไรได้อีกหลายอย่าง แต่ในเคสนี้เรามาโฟกัสที่ปัญหาหลักกันก่อนนะคะ ว่า แคมเปญ Google Ads ของโรงแรมนี้ไม่มีประสิทธิภาพจริงรึเปล่า?

ใน report เดียวกันนี้ จะเห็นว่ามีตัวเลขอีกชุดนึงที่แสดงให้เห็นอะไรบางอย่าง

google-analytics-channels-report-details

Paid Search ในรายงานของ Google Analytics นั้นคือ channel ที่มาจากแคมเปญ Google Ads campaigns ในเดือนเม.ย 2021 มียอดรายได้จากแคมเปญลดลงจากเดือนพ.ย 2020 อย่างมากถึง 79% เลยทีเดียว

ถ้ามองดูภาพรวมแล้วจะดูเหมือนว่าโรงแรมไม่ได้สูญเสียรายได้ลงเลย แต่รายได้นั้นตกไปอยู่ใน channel อื่นแทน ได้แก่ Organic Search และ Direct

แล้วแบบนี้ฟังดูไม่ดีหรอ ถ้าในเมื่อโรงแรมมีรายได้เพิ่มขึ้นจากช่องทาง organic

Traffic เทียบกับ Revenue

ลองเช็คดูใน report อื่นกันค่ะ

google-analytics-campaigns-report
Universal Analytics: Acquisition > Campaigns > All Campaigns

ใน report นี้ไม่จำเป็นต้องดูตัวเลขเลย เพียงดูเส้น timeline ก็จะเห็นว่า traffic ในเดือนเม.ย 2021 ที่มาจาก paid search ลดลงจากเดือนพ.ย 2020 อย่างเห็นได้ชัด (ในขณะที่ traffic ทั้งหมดจากทุกช่องทางนั้นเพิ่มขึ้น)

โดยสรุปแล้ว traffic ที่มาจาก Paid-Search ที่ลดลงไป 76% มีผลให้ยอด revenue จาก Paid-Search ลดลงไป 79%

แล้วทำไม? มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมโรงแรมถึงประสบกับปัญหาที่ traffice จาก Google Ads ลดลงไปอย่างมหาศาล?

เราลองมาเช็คที่ Google Ads กันดูค่ะ

เปรียบเทียบแบบ Apples to Apples (การเปรียบเทียบ 2 สิ่งที่เหมือนกัน)

เมื่อเลือก report ใน Google Ads เปรียบเทียบกัน 2 เดือนระหว่าง เม.ย 2021 และ พ.ย 2020 จะแสดงผลดังนี้

google-ads-hotel-campaign-summary

4 แคมเปญที่เห็นนี้ เคยมีการรันในเดือนพ.ย 2020 และ เม.ย 2021 หรือทั้งสองเดือน โดยที่:

  • แคมเปญ 1:Branded (Search) มีการ OFF ในเดือนพ.ย 20 แต่ ON ในเดือนเม.ย 21
  • แคมเปญ 2020 Display ได้ ON ในเดือนพ.ย 20 แต่ OFF เกือบทั้งเดือนเม.ย 21
  • ทั้งแคมเปญ 2020 Display และ 1:Branded เกิด conversion น้อยมาก
  • แคมเปญ 2020 Paid Search ได้ OFF ในเดือนเม.ย 21 แต่ ON ในเดือนพ.ย 20 ส่วนแคมเปญ Category นั้นสลับกัน
  • ค่าโฆษณา เดือนพ.ย 20 คือ $761 (ประมาณ 25,000) เดือนเม.ย 21 คือ $670 (ประมาณ 22,000)

จริงอยู่ว่าเราอาจแย้งว่าอาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น เช่นโครงสร้างแคมเปญหรือชื่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นที่เราจะหยิบยกขึ้นมาพูดถึงในตามวัตถุประสงค์ของกรณีศึกษานี้

งั้นมาต่อกันเลยดีกว่า ว่าสุดท้ายแล้วเราจะเห็นอะไร…

ตัวปัญหา

สรุปโดยสังเขป ว่าสถานการณ์ทั้งหมดของเคสนี้ คือ:

  • แคมเปญ “2020 Paid Search” ที่สร้างยอดรายได้สูงสุดในเดือนพ.ย 2020 นั้นได้ถูก OFF ในเดือนเม.ย 2021
  • แคมเปญ “Category” ได้ถูกใช้งาน ON ในเดือนเม.ย 2021 และมีคอนเวอร์ชั่นเกิดขึ้น 73 conversions…
  • แต่ว่า…ไม่มี converions ไหนเลยที่ generated revenue
campaign-performance-problem

ซึ่งจริงๆแล้ว Conversions ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การจองห้องพัก แต่ยังรวมถึง:

  • คนที่โทรเข้ามายังโรงแรมผ่านโฆษณา Google Ads
  • คนที่กรอกแบบฟอร์มรับข่าวสารโปรโมชั่น หรือติดต่อสอบถาม
  • คนที่คลิกเบอร์โทรบนเว็บไซต์ของโรงแรม

หรืออีกนัยหนึ่ง เราจะเรียกว่า เป้าหมายขนาดเล็ก หรือ micro conversion ก็ได้

ตอนนี้เราก็ระบุปัญหาได้ชัดเจนแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น สเตปต่อไปคือเราต้องขุดต่อว่า “ทำไม (WHY)” จึงเกิดผลแบบนี้ เพื่อทำความเข้าใจพร้อมหาวิธีแก้ไข (HOW) และปรับปรุงแคมเปญโฆษณาของโรงแรมนี้กลับมาสร้างรายได้ให้กับโรงแรม

ทีนี้เราย้อนกลับไปดูที่ Google Ads กันอีกที

แล้วทำไมแคมเปญ “Category 2020” ถึงไม่สร้างยอดรายได้ล่ะ?

ลองดู keyword report ด้านล่าง ซึ่งเป็น report ของเดือนเม.ย 2021

hotel-campaign-1-google-ads

อย่างแรกเลย แคมเปญนี้ใช้งบโฆษณาไป $558 จากค่าโฆษณา (Ad Spend) ทั้งหมดที่จ่ายไป $670 ซึ่งหมายความว่า 83% ของค่าโฆษณาทั้งเดือนที่จ่ายไปนั้น ไม่สามารถสร้างรายได้กลับมาได้เลยซักบาท

อย่างที่สอง คีย์เวิร์ด ที่ใช้ในแคมเปญนี้ ทั้งหมดเป็นคำหลักทั่วไปและเป็นคำที่นิยมค้นหา โดยตัวมันเองแล้ว คีย์เวิร์ดพวกนี้ไม่ได้มีปัญหา แต่ปัญหาอยู่ที่การตั้งค่า match type ที่ทุกตัวถูกตั้งเป็น broad ซึ่งมันเป็นคีย์เวิร์ดในรูปแบบที่กว้างมากๆ

คีย์เวิร์ดประเภท broad match type นั้นช่วยโฆษณาถูกเห็นได้กว้างมากและช่วยในการค้นหาคีย์เวิร์ดใหม่ๆ จาก search term แต่มันก็อันตรายมากเช่นกัน เพราะโฆษณาจะถูกแสดงในทุกๆ search term ที่กว้างมาก แม้มีคำที่เกี่ยวข้องเพียงคำเดียวก็ตาม และอาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายที่ค้นหาอะไรเกี่ยวกับโรงแรมเลย

ทีนี้เราก็ต้องมาเจาะลึกว่าทำไมแคมเปญถึงไม่มีประสิทธิภาพ

  • conversions อะไรบ้างที่เกิดขึ้นในแคมเปญ
  • search terms อะไรบ้าง ที่คนค้นหาแล้วคลิกโฆษณาเข้ามา

เรามาดูกันค่ะ

Conversion Type

ด้านล่างนี้เป็น report เดียวกับ report ใน Google Ads ก่อนหน้านี้ โดยแสดง converison action ที่เกิดขึ้น

conversion-type

คีย์เวิร์ดทั้งหมดที่เห็นในแคมเปญนี้ ช่วยให้คนคลิกโทรติดต่อเข้ามายังโรงแรม แต่ไม่มี bookings เกิดขึ้น (ในที่นี้เราพูดถึง reservations การจองห้องพัก ผ่าน booking engine บนเว็บไซต์)

ไม่มี bookings = ไม่มี Revenue

ลองดูในคอลัมภ์สุดท้ายของ report (Conv. value) ถ้ามีการจองห้องพักเกิดขึ้น เราจะเห็นตัวเลขจำนวน booking ในช่องนี้ แต่เราจะเห็นว่าตัวเลขระหว่าง Conversions และ Conv. value มันเท่ากันคือ 1:1 เมื่อ Call from ads ถูกเซ็ตขึ้นด้วยค่าคงที่ที่ 1$ ต่อ 1 conversion

แล้วทำไมถึงไม่มี bookings? ทำไมมีแต่คอนเวอร์ชั่น Call from ads?

Search Terms

จากลิสต์คีย์เวิร์ดใน report ด้านบน เราลองหยิบคีย์เวิร์ดตัวแรกมาดูกัน ซึ่งเป็นคีย์เวิร์ดที่ใช้งบเยอะที่สุดในช่วงเวลานั้น มาดูกันว่าคลิกพวกนี้มาจาก Search Terms ไหนบ้าง

search-terms-generic-keywords

search terms ทั้งหมดที่เกี่ยวกับ keyword คำที่เลือกมานี้ โรงแรมจ่ายค่าโฆษณาไป $51.20 เฉพาะคีย์เวิร์ดนี้เพียงตัวเดียว คิดเป็น 8% ของค่าโฆษณาทั้งหมดที่จ่ายไปทั้งเดือน

เมื่อดูจาก search terms พวกนี้ ทุกตัวเป็นชื่อแบรนด์โรงแรมทั้งนั้น

ซึ่งเท่ากับว่า โรงแรมจ่ายค่าโฆษณาไปกับการที่มีคนโทรเข้ามาเพราะค้นหาโรงแรมอื่นๆ

แล้วแบบนี้มันคุ้มหรอกับค่าโฆษณาที่จ่ายไป?

แน่นอนว่าไม่คุ้ม หลังจากนั้น search terms พวกนี้ได้ถูกเซ็ตเป็น negative keywords แล้ว ซึ่งดูได้จากคอลัมภ์ 2 ซึ่งเป็น Excluded (โฆษณาจะไม่ถูกแสดงผลแล้วเมื่อมีคนค้นหาด้วย search terms พวกนี้)

ประสิทธิภาพของโฆษณาช่วงก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร?

ในหัวข้อที่เราพูดถึงการเปรียบเทียบ apples to apples สถานการณ์ในช่วงเดือนพ.ย 2020 เป็นอย่างไร เมื่อมีรายได้บางส่วนได้มาจากแคมเปญโฆษณา Google Ads?

เราลองย้อนไปดูในเดือนพ.ย 2020 แคมเปญ “2020 Paid Search” ที่สร้างยอดรายได้สูงสุด

hotel campaign performance in the past

*ก่อนที่เราจะไปกันต่อ ขอย้ำอีก ว่าข้อมูลที่เอามาโชว์ให้ดูนี้ เราได้ทำการแทนที่ keywords ที่มีชื่อจริงของโรงแรมเจ้าของเคสนี้ แทนด้วยชื่อสมมุติว่า “hotel atalanta”. 😉

เราลองมาไล่ดูกันแบบเดิม เริ่มที่ตัวเลขค่าโฆษณาที่จ่ายไป $205 ในเดือนพ.ย 2020 คิดเป็น 27% ของยอด Ad spends ทั้งหมดของเดือน ($ 762)

จำได้มั้ยว่า แคมเปญเดียวกันนี้ ในเดือนเม.ย 2021 จ่ายค่าโฆษณาไปถึง 83% จากค่าโฆษณาทั้งเดือน

อย่างที่คุณเห็น ความแตกต่างที่สำคัญแคมเปญนี้กับแคมเปญอื่นที่เคยใช้ในเดือนพ.ย 2020 คือ คีย์เวิร์ดที่เป็นคำค้นหาทั่วไปปนกับชื่อโรงแรม

นอกจากนี้ คีย์เวิร์ดทั้งหมดถูกตั้งค่า match type แบบเดียวกันคือ Broad Match

ซึ่งโดยหลักการแล้ว แคมเปญนี้น่าจะเกิดสถานการณ์เดียวกันกับเดือนเม.ย 2021 คือมี search terms ที่ไม่เกี่ยวข้อง

แต่ลองมาดูกันที่ Conversion Actions กับ Value ที่เกิดขึ้นจาก keywords ชุดนี้กัน

Hotel Performance - Transactions

Transactions = Bookings = Revenue.

อย่างที่เห็น แคมเปญนี้ได้รวมคีย์เวิร์ดทั้งที่เป็นคำค้นหาทั่วไป กับคีย์เวิร์ดที่มีชื่อโรงแรม

จะสังเกตได้ว่าคีย์เวิร์ดตัวสุดท้ายในตัวอย่าง ซึ่งเราได้ทำการเปลี่ยนชื่อโรงแรมจริงเป็น atalanta hotel chicago เพื่อรักษาข้อมูลส่วนตัวของโรงแรม แม้ว่า hotel in chicago จะมีการแสดงผล (impressions) มากกว่าเกือบ 7 เท่า แต่คีย์เวิร์ดที่เป็นชื่อโรงแรมนั้นสร้างรายได้มากกว่าเกือบ 8 เท่า

คีย์เวิร์ด 2 ตัวที่ต่างกัน ตามความต้องการและความสนใจที่ต่างกัน ดังนั้นทางเทคนิคและตามหลักการแล้ว การตั้งค่าแคมเปญข้างต้นจึงไม่ถูกต้องอยู่ดี

ทิ้งการวิเคราะห์อันนี้ไว้ก่อน ลองกลับไปดูที่การวิเคราะห์ apples-to-apples อีกที

ถึงแม้ว่าแคมเปญจะสร้างรายได้ให้กับโรงแรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะหยุดผลลัพธ์ไว้แค่นี้ ยังมีโอกาสที่เราจะ generate revenue ให้ได้มากขึ้น รวมทั้งทำต้นทุนค่าโฆษณาให้ถูกลงได้อีก

ดังนั้น ตอนนี้เราต้องมาดูกันที่ search terms ของ keywords ที่จ่ายค่าโฆษณาแพง คีย์เวิร์ดที่เป็น generic keywords ซึ่งก็คือ hotel in chicago และ boutique hotel chicago

generic-keywords-brand-search-terms

เรามาไล่ดูตามลำดับ:

  • report นี้ sort เรียงลำดับตัวเลขตาม Conv. value (revenue)
  • มีเพียง search terms 3 ตัวที่มี Conv. value เกิดขึ้น คือได้รับ bookings ด้วยยอดทั้งหมด $297
  • ทั้ง 3 ตัวเป็นการค้นหาด้วยชื่อโรงแรม

นี่คือผลลัพธ์จากการใช้ Broad-Match type keywords เพื่อให้ได้ traffic เยอะๆ แต่ก็จบลงตรงที่การสูญเงินไปกับคำค้นหาที่ไม่เกี่ยวข้องและจ่ายไปเพื่อ bookings ที่ยังไงก็มีคนจองห้องพักของโรงแรมอยู่ดี (ก็เพราะ users ค้นหาจากชื่อโรงแรม ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเค้าต้องการจองโรงแรมคุณอยู่แล้ว ถึงคุณจะไม่ได้ลงโฆษณา)

Search Terms, Search Terms แล้วก็ Search Term

ถ้าคุณจำกัดการวิเคราะห์เพียงแค่คุณภาพของคีย์เวิร์ดที่คุณใช้ แค่คุณเห็นว่า CTR มันสูงแล้วถือว่าดี แต่ไม่ได้วิเคราะห์ต่อว่า users ที่คลิกโฆษณาของคุณ พิมพ์คำค้นหา (search terms) อะไรที่ทำให้เจอโฆษณาของคุณแล้วคลิกเข้ามา ซึ่งคุณอาจจะสูญเงิน (จำนวนมาก) ไปโดยเปล่าประโยชน์

Branded Campaign คืออะไร?

แล้วทำไมคีย์เวิร์ดที่มีชื่อโรงแรม ถึงไม่ถูกนำไปใช้ในแคมเปญ brand-protection?

แคมเปญ brand-protection มีเป้าหมายเพื่อใช้กันคู่แข่งอย่าง OTAs ทั้งหลาย (ซึ่งพวกเหล่า OTAs มักจะซื้อ keywords ที่เป็นชื่อแบรนด์โรงแรม โดยเฉพาะโรงแรม 4-5 ดาว ทำให้ user จะเห็นโฆษณาจากเว็บไซต์ OTAs ก่อนเสมอ)

ตามหลักการแล้ว brand keywords จะเป็นคีย์เวิร์ดที่มี CTR สูง ต้นทุนค่าคลิกต่ำ และ generate รายได้เสมอ

แต่ในความเป็นจริง ณ เดือนเม.ย 2021 โรงแรมเพิ่งจะเริ่มต้นใช้แคมเปญ brand-protection

Branded Campaign

ในเดือนเม.ย 2021 แคมเปญนี้ใช้งบไปมากกว่าเดือนพ.ย 2020 100% แสดงว่าในเดือนพ.ย​ 2020 แคมเปญนี้ยังไม่ถูกเซ็ตขึ้นมา

เปรียบเทียบกันอีกที ระหว่างเดือนพ.ย 2020 กับเดือนเม.ย 2021 ในบทสรุปให้ชัดเจนขึ้นว่าเราเห็นอะไรจากการวิเคราะห์นี้บ้าง

  • เดือนพ.ย​ 2020 มีการใช้ keywords ที่เป็นชื่อแบรนด์โรงแรมในแคมเปญที่สร้างรายได้
  • เดือนเม.ย 2021 มีการแยกแคมเปญระหว่าง keywords ที่เป็นชื่แบรนด์โรงแรม กับ keyword ที่เป็น generic ไม่เจาะจง

ตอนนี้เราตั้งคำถามอยู่ 2 อย่างคือ:

ข้อแรก แคมเปญ 1:Branded นี้สร้างยอดรายได้เท่าไหร่ในเดือนเม.ย 2021?

Branded campaign conversion value

ตัวเลข $487 นี้ไม่ใช่ยอด revenue ที่ generated มาจากแคมเปญเดียว แต่เป็นยอดรวมจากทุกแคมเปญใน Google Ads ของเดือนเม.ย 2021

ซึ่งในเดือนเม.ย 2021 แคมเปญ 1:Branded นี้เป็นเพียงแคมเปญเดียวที่มีการจองห้องพักเข้ามา

แต่ก็อย่างที่เห็น ยอดการจองนั้นน้อยมากเมื่อเทียบกับเดือนพ.ย 2020

มาถึงคำถามที่สอง แล้วถ้าในเมื่อเดือนพ.ย 2020 โรงแรมมีรายได้มาจากการที่มีคนค้นหา (search terms) ด้วยชื่อแบรนด์ แล้วทำไมแคมเปญ 1:Branded ถึงไม่เวิร์คในเดือนเม.ย 2021?

เมื่อไม่ลงทุน ก็ไม่เกิดรายได้

คำตอบอาจจะอยู่ใน report ด้านบนตัวที่เป็นจำนวน Ad Spend ของแคมเปญ ยอด $49.27 (ประมาณ 1,615 บาท) ที่ใช้ไปในเดือนนั้น ซึ่งตกอยู่วันละประมาณ $1.63 (ประมาณ 54 บาทเท่านั้น!!!)

ถ้างั้นอาจจะเป็นไปได้อย่างใดอย่างหนึ่งว่า:

  • แคมเปญเพิ่งได้เปิดใช้ไปจนถึงปลายเดือน ดังนั้นจึงอาจจะยังไม่สามารถวัดผลได้มากนัก หรือ
  • งบประมาณต่ำเกินไป

คำตอบอยู่ใน ประวัติการเปลี่ยนแปลง (Change History)

Campaign Change History

มาไล่ดูกันทีละข้อ:

  • ณ เวลาที่ทำกรณีศึกษานี้ (มิ.ย 2021) แคมเปญ 1:Branded ถูกตั้งงบประมาณไว้ที่ $5.60/วัน
  • ณ วันที่ 27 เม.ย 2021 ซึ่งเป็นช่วงปลายเดือนของเดือนที่ตรวจเช็ค งบประมาณได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นจากวันละ $1.50 เป็นวันละ $2.80
  • 2 สัปดาห์หลังจากนั้น ณ วันที่ 12 พ.ค 2021 งบประมาณถูกปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้ง จากวันละ $2.80 เป็นวันละ $5.60 (งบปัจจุบัน)

พูดง่ายๆ ด้วยงบวันละ $1.50 ในตอนแรก แคมเปญนี้จึงไม่ได้ผล

ลองคำนวณง่ายๆ ค่าเฉลี่ย CPC คลิกละ $0.34 เมื่อมีคนคลิกโฆษณาเพียงแค่ 4 ครั้ง งบของวันนั้นก็จะหมดไปแล้ว

ต้องการผู้ช่วยด้าน Google Ads สำหรับโรงแรมของคุณ คลิกที่นี่ค่ะ

บทสรุป

โรงแรมต้องการทราบว่าทำไมโฆษณาถึงไม่มีประสิทธิภาพเหมือนที่ผ่าน แต่ผลสรุปออกมาว่า ผลงานที่ผ่านมานั้นก็ไม่ได้มีประสิทธิภาพเหมือนกัน

การเปลี่ยนจาก สูญเงินไปสู่การสร้างรายได้ นั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้ตรรกะ กลยุทธ์ และการวิเคราะห์ข้อมูล

ดังนั้นในการทำแคมเปญโฆษณา เราขอแนะนำว่าสิ่งแรกที่ต้องทำคือการวางแผนโครงสร้างแคมเปญ ด้วยหลักของ 3 เรื่องข้างบน

ในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูล สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากจะแนะนำและควรเริ่มต้นที่จุดนี้ทุกครั้ง คือ อย่าวิเคราะห์คีย์เวิร์ดโดยที่ไม่เช็ค search terms ที่เป็นที่มาของคลิกทั้งหมด

การทำการตลาดเพื่อเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายที่อยู่ใน top-of-the-funnel ให้กลายเป็น lead แล้วกลายเป็นลูกค้าได้อย่างได้ผลนั้นมีหลายหลายวิธีที่แตกต่างกัน

แต่วิธีการนั้นยังต้องใช้แนวทางเดียวกัน นั่นก็คือ ตรรกะ กลยุทธ์ และการวิเคราะห์

นี่คือสิ่งที่คุณจะต้องไม่ลืม

ที่มา: Directyourbookings.com by Alessandro Crotti

Categories
Facebook Ads การตลาดโรงแรม โฆษณาโรงแรม

3 เทคนิค Retargeting สำหรับโรงแรม กลยุทธ์เด็ดที่จะช่วยเพิ่มยอด (direct) bookings

หนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญสำหรับการทำโฆษณาออนไลน์ นั่นก็คือ กลยุทธ์ Retargeting สำหรับโรงแรม ที่หลายๆคนเรียกว่าเป็นการตลาดแบบตามหลอกตามหลอนลูกค้าไปทุกที่ หลังจากที่ลูกค้าได้เข้ามายังเว็บไซต์หรือเพจของคุณ ไม่ว่าเค้าจะเข้าไปยังเว็บไซต์ต่างๆ หรือในหน้าเพจเฟซบุ๊ก ลูกค้ากลุ่มนั้นก็จะเจอโฆษณาของเราโผล่มาให้เห็น ซึ่งคนกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มเป้าหมายของโรงแรมนั่นเอง

ด้วยเทคนิคการทำ Retargeting อาจจะมีมากมายหลายร้อยวิธี แต่ Thai DYB ขอเลือกตัวเด็ดมา 3 เทคนิค Retargeting สำหรับโรงแรม ที่ควรนำไปใช้ ซึ่งเราเลือกจากประสบการณ์ที่เราทำงานให้ลูกค้าและมันได้ผลจริง ตามหลักการ 👉 TECHNOLOGY + STRATEGY = SUCCESS

1. Delayed Discount: โค้ดส่วนลด’ตามหลัง’

แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วลูกค้าใหม่ที่เพิ่งเคยเข้ามายังเว็บไซต์โรงแรม จะยังไม่จองห้องพักตั้งแต่ครั้งแรก และลูกค้ามักจะ search และ compare ราคาโรงแรมกับ OTAs อีกด้วย ดังนั้นโรงแรมคุณควรต้องทำราคาห้องพักให้ Parity สำหรับลูกค้าใหม่ของคุณด้วย โดยคุณสามารถทำแคมเปญโฆษณา Retargeting ไปยังลูกค้ากลุ่มนี้ที่เข้าเว็บโรงแรมในครั้งแรก คนที่เข้ามา search ราคาห้องพัก แต่ยังไม่จอง โดยคุณให้ส่วนลด discount code พิเศษสำหรับลูกค้าใหม่เพื่อเป็นส่วนลดในการจองในครั้งแรก เท่านี้คุณก็มีโอกาสที่จะปิดการขายได้สูงขึ้น

2. Free Lead, Free Retargeting: เก็บรายชื่อ’ว่าที่ลูกค้า’แบบฟรีๆ

ตอนนี้ Booking engine ของโรงแรมคุณขอให้ลูกค้าคุณกรอกอีเมล์ในกับขั้นตอนเดียวกับการชำระเงินอยู่หรือเปล่าคะ

ถ้าใช่ มันน่าเสียดายมากเลยนะ คุณรู้มั้ยว่าถ้าโรงแรมคุณแยก process เป็น 2 ส่วนโดยที่ขั้นตอนแรกคุณขอแค่ชื่อ-นามสกุล กับอีเมล์ของเค้า แล้วเก็บเป็นฐานข้อมูลไว้ทำ CRM หลังจากลูกค้า submit

ซึ่งเมื่อคุณได้รายชื่อ ‘lead’ หรือ ‘ว่าที่ลูกค้า’ ของคุณมาแล้ว (แบบฟรีๆ) ทีนี้คุณก็จะทำแคมเปญ retargeting ไปยังรายชื่อกลุ่มที่ได้กรอกข้อมูลขั้นตอนแรก แต่ทำการจองไม่สำเร็จ เท่านี้คุณก็จะมีโอกาสได้ bookings จากลูกค้า potential กลุ่มนี้อีกเช่นกัน

3. Messenger (ฟรี!)

ง่ายๆตามนั้นเลย ใช้ Facebook Messenger เพื่อทำ retargeting ไปยังลูกค้า ที่ interactive กับคุณครั้งแรก แต่คุณสามารถใช้งานได้ ฟรี! ภายใน 24 ชม. เท่านั้น เพราะคุณจะไม่สามารถส่งข้อความหาลูกเพจของคุณก่อนได้ หากเค้าไม่ได้ inbox หาคุณก่อน

ธุรกิจของ Snaptravel เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดมาก หลังจากที่ได้พลิกวิกฤติจากที่เกือบจะล้มละลายกลายเป็นประสบความสำเร็จภายในไม่ถึง 2 ปี หลังจากที่ผันตัวมาเป็น Messenger-based และ Whatsapp-based OTA.

P.S. >> เช่นเดียวกับ 2 ตัวอย่างแรก คุณสามารถดึงดูดลูกค้ากลุ่ม retargeting ของคุณ ด้วยการให้ส่วนลดหรือ benefit พิเศษ (มีกำหนดเวลานะ) โดยที่เค้าจะกลับมาหาคุณก่อนที่โปรนั้นจะหมดอายุ


อ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Retargeting for Hotels

Categories
Facebook Ads Google Ads โฆษณาโรงแรม

วางกลยุทธ์โฆษณา Google Ads และ Facebook Ads เพื่อโปรโมทโรงแรมยังไงดี?

การทำโฆษณาออนไลน์เพื่อโปรโมทโรงแรม ทั้งบน Google และ Facebook ต่างก็เป็นการตลาดออนไลน์ที่มีประสิทธิภาพทั้งคู่ แต่เราจะเลือกใช้โฆษณาตัวไหน ให้เหมาะกับธุรกิจของโรงแรม บางคนอาจจะบอกว่า ทำโฆษณาบน Facebook ดีกว่า เพราะใครๆก็เล่นเฟสบุ๊กและใช้งานกันตลอดเวลา แต่บางคนก็บอกว่า ทำโฆษณาบน Google ดีกว่า เพราะไม่ว่าคนจะค้นหาอะไรก็ต้องเสิร์จจาก Google ก่อนเป็นอันดับแรก

แต่ก่อนที่เราจะสรุปว่าจะใช้ช่องทางไหนดีกว่ากัน ระหว่าง Google หรือ Facebook สิ่งสำคัญคือโรงแรมควรพิจารณาว่าช่องทางไหนมีจุดเด่นอย่างไร เหมาะกับเป้าหมายแบบไหน ซึ่ง DirectYourBookings ขอแนะนำวิธีการทำโฆษณาออนไลน์ให้โรงแรมคุณได้วางแผนกันคร่าวๆ ด้วยกลยุทธ์ดังนี้ค่ะ

1. ทำโฆษณา Google Ads เพื่อสร้างยอดขาย

การทำโฆษณา Google ads โดยตัวหลักจะเป็นการโฆษณาที่เรียกว่า Search Engine Marketing เป็นการทำโฆษณาด้วยคำค้นหา หรือ keywords เมื่อมีคนค้นหาคีย์เวิร์ดนั้นๆ จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง เช่น คนที่กำลังค้นหาคำว่า ‘โรงแรมในสมุย’ แสดงว่าเค้ากำลังสนใจที่จะจองโรงแรมในสมุยอยู่ โดยโฆษณาจะแสดง Headline และ Description ที่ดึงดูดลูกค้าให้สนใจคลิกโฆษณา และพาลูกค้าไปยังหน้าเว็บไซต์โรงแรม

google ads โรงแรมในสมุย
โฆษณาใน Google เมื่อมีการค้นหาคำว่า “โรงแรมในสมุย”

การทำโฆษณา Google จึงเป็นการโปรโมทโรงแรมที่เข้าถึง Potential customer ซึ่งแน่นอนว่ามีโอกาสที่ปิดการขายได้มากเลยทีเดียวค่ะ ช่วยให้โรงแรมคุณมียอด bookings เพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน.

2. ทำโฆษณา Facebook Ads เพื่อโปรโมทโรงแรมไปยังลูกค้าใหม่ สร้าง Brand awareness และ Generate demand

ในส่วนของการทำโฆษณา Facebook ads จะต่างกับโฆษณาบน Google ตรงที่ Facebook Ads ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคีย์เวิร์ด แต่จะสามารถสร้างรูปแบบโฆษณาได้หลากหลาย ทั้งรูปภาพ และวีดีโอ โดยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากเพราะมีจำนวนผู้ใช้มหาศาล ด้วยการกำหนด target ตามโลเกชั่น เพศ อายุ ความสนใจ เป็นต้น โดยที่ facebook จะนำโฆษณาไปแสดงบนหน้าฟีดของกลุ่มเป้าหมาย สร้างการรับรู้แบรนด์ และโปรโมทโรงแรมไปยังลูกค้าใหม่ให้เป็นที่รู้จัก

เมื่อโฆษณาเป็นที่น่าสนใจ กระตุ้นความต้องการ คนเหล่านั้นที่เห็นโฆษณาก็อยากจะมีส่วนร่วม เช่น โรงแรมโฆษณาโปรโมชั่นห้องพักบน facebook เมื่อมีคนเห็นก็จะสนใจ กดไลค์และแชร์ไปยังกลุ่มเพื่อน ชวนกันไปเที่ยว เป็นการสร้างให้ user เกิดความต้องการนั่นเองค่ะ

3. ทำโฆษณาซ้ำ Facebook Retargeting เพื่อติดตามว่าที่ลูกค้า

คนที่เคยเข้าเว็บไซต์ ดูเพจโรงแรม หรือ engage โพสต์โดยการกดไลค์กดแชร์ แน่นอนว่ากว่า 80% ที่จะยังไม่จองโรงแรมตั้งแต่ครั้งแรก การทำ Retargeting โฆษณาซ้ำไปยังคนกลุ่มนี้ จะช่วยย้ำให้เค้าไม่ลืมโรงแรมคุณ และการทำ Facebook Retargeting นั้นมีประสิทธิภาพมากกว่า ถ้าเทียบกับการทำ Google Retargeting ซึ่งมีรูปแบบที่จำกัด

ด้วยรูปแบบการทำโฆษณาที่หลากหลายของ facebook ทั้งรูปภาพและวีดีโอ ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจในการจองห้องพักได้ดีเลยทีเดียวค่ะ

กลยุทธ์ Retargeting สำหรับโรงแรม ยังมีเทคนิคอื่นๆที่นำมาใช้ร่วมกัน ช่วยให้คุณไม่พลาดที่จะทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้กลับมาจองโรงแรมคุณอย่างแน่นอน

สรุป:

ใช้กลยุทธ์ “สร้างแบรนด์ด้วย Facebook Ads และปิดการขายด้วย Google Ads” สำหรับธุรกิจโรงแรม จะช่วยให้การทำโฆษณาออนไลน์ทั้งสองช่องทางทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้กลุ่มเป้าหมายที่ได้จากการทำโฆษณาทั้งสองช่องทาง ยังนำมาพัฒนาร่วมกันเพื่อให้กำหนดกลุ่มเป้าหมายในแคมเปญอื่นได้แม่นยำยิ่งขึ้นอีกด้วย


𝘿𝙧𝙞𝙫𝙚 𝙈𝙤𝙧𝙚 𝘽𝙤𝙤𝙠𝙞𝙣𝙜𝙨 𝙬𝙞𝙩𝙝 𝘿𝙞𝙜𝙞𝙩𝙖𝙡 𝙈𝙖𝙧𝙠𝙚𝙩𝙞𝙣𝙜 𝙛𝙤𝙧 𝙝𝙤𝙩𝙚𝙡𝙨

วางแผนกลยุทธ์การตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจโรงแรมของคุณ ไม่ว่าจะโรงแรมเล็ก โรงแรมใหญ่ วิลล่า โฮลเทล หรือเกสต์เฮาส์ DirectYourBookings เราพร้อมให้คำแนะนำกับคุณ ฟรี!!

Categories
กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล การตลาดโรงแรม

7 กลยุทธ์ Lead-Magnets สำหรับโรงแรม

กลยุทธ์โรงแรม 7 ตัวอย่างการทำ Lead-Magnets แม่เหล็กดึงดูดคนให้กลายมาเป็นลูกค้าสำหรับโรงแรม คำว่า “Lead” ในความหมายทางการตลาด คือ “ว่าที่ลูกค้าของโรงแรม” หรือคนที่มีโอกาสจะจองโรงแรมบนเว็บไซต์ของคุณนั่นเอง โดยกลุ่มคนเหล่านี้คือคนที่แสดงความสนใจต่อสิ่งที่เรานำเสนอบนเว็บไซต์ เช่น คลิกสมัครรับข่าวสารจากทางโรงแรม เป็นต้นเราจะเปลี่ยนจากผู้ที่เข้าชมเว็บไซต์ กลายไปเป็นผู้จองห้องพักหรือลูกค้าของโรงแรมได้อย่างไร…

วันนี้ Direct Your Bookings มีเคล็ดลับการทำ Lead-Magnets กลยุทธ์ที่จะดึงดูดคนให้กลายมาเป็นลูกค้าของโรงแรม มาฝากกันค่ะ

1. ทำแผนที่การเดินทางท่องเที่ยวให้ลูกค้าไว้ใช้งาน (TRAVEL ITINERARY)

ออกแบบ Itinerary ท่องเที่ยวบน Google Map โดยใช้ฟีเจอร์ลับ(ที่ไม่ลับ) ‘Your Places’ สร้างลิสต์สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ (POIs) ในโลเกชั่นใกล้เคียงไว้สำหรับลูกค้าของโรงแรมวิธีการสร้างแผนที่ท่องเที่ยวแบบ step-by-step ใช้เวลาเพียงแค่ 20 นาที คลิกที่นี่: http://bit.ly/DYB-Itinerary

PRO Tip >> สร้างสรรค์โปรแกรมที่น่าสนใจด้วยข้อมูลแบบฉบับของคนท้องถิ่นและสถานที่ลับๆที่น้อยคนจะรุ้จัก

2. คู่มือภาษาท้องถิ่นที่ควรรู้สำหรับนักท่องเที่ยว

คำเหล่านี้นอกจากจะประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการนำเสนอสิ่งที่นักท่องเที่ยวกำลังตามหา และนำเสนอได้ทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ”ราคาเท่าไหร่” ภาษาเหนือพูดยังไง “อร่อย” ภาษาอีสานพูดยังไง How to say “Hello/Thank you” in Thai.

PRO Tip >> นอกจากจะเป็นประโยชน์แล้ว นักท่องเที่ยวยังสนุกกับการได้พูดภาษาท้องถิ่น ทำให้เป็นเรื่องสนุกและเหนือกว่าคำพื้นฐานด้วยคำอื่นๆที่น่าจดจำ

3. แบบทดสอบสนุกๆ (QUIZ)

 "[จังหวัด/เมืองของคุณ] คือจุดหมายปลายทางสำหรับทริปหน้าของคุณจริงหรือไม่? มาหาคำตอบจากแบบทดสอบนี้กันเลย"

ตั้งคำถามให้คนอยากรู้ เรื่องลับๆที่อยากหาคำตอบ แล้วครีเอทแบบทดสอบที่สนุกๆ

PRO Tip >> ท้ายแบบทดสอบ คุณอาจจะใช้วิธีการให้ผู้เล่นกรอกอีเมล์เพื่อดูคะแนนจากนักท่องเที่ยวทั้งหมด (คนส่วนใหญ่ชอบเปรียบเทียบ) วิธีนี้จะทำให้แบบทดสอบของคุณมีความท้าทายให้เล่น (คนส่วนใหญ่ชอบความท้าทายเช่นกัน)

4. แผนที่ร้านอาหารแนะนำ

อันดับแรก ลิสต์ประเภทร้านอาหารที่มีในพื้นที่ของคุณก่อน เช่น อาหารพื้นบ้าน, อาหารไทย, อาหารทะเล, อาหารอินเดีย, อาหารมังสวิรัติ เป็นต้น จากนั้นเลือกร้านเด็ดเพียง 1 ร้านจากแต่ละประเภท แล้วสร้างแผนที่รวมร้านอาหารแนะนำทุกร้านที่คุณสิลต์มาไว้บน Google Maps (ทำเช่นเดียวกับ lead-magnet 1)

PRO Tip >> ให้ข้อมูลร้านอาหารแบบสั้นๆ พร้อมจุดเด่นของแต่ละร้านที่คุณเลือกว่าทำไมร้านนี้คุณเชื่อว่าดีที่สุด อย่าลืม! ใส่โรงแรมคุณในแผนที่ร้านอาหารแนะนำนี้ด้วยให้ลูกค้ารู้ว่าแต่ละร้านห่างจากโรงแรมคุณเท่าไหร่

5. คูปองสำหรับลูกค้าใหม่ (1st-time visitors)

จากสถิติ 97% ของผู้ใช้จะยังไม่เปลี่ยนเป็นลูกค้าตั้งแต่ครั้งแรก ดังนั้นแทนที่คุณจะรุกให้คนทำการจองโรงแรมคุณในเวลาที่เค้ายังไม่พร้อม คุณควรมอบข้อเสนอพิเศษ (ที่ใช้ได้จริง) ให้เค้ากลับมาจองโรงแรมคุณทีหลัง เช่น แจกโค้ดส่วนลดสำหรับลูกค้าใหม่ กลยุทธ์โรงแรมตัวนี้ ใช้ได้ดีเสมอ

PRO Tip >> จะรู้ได้ยังไงว่าใครเป็นลูกค้าใหม่? มีหลายตัวช่วยที่สามารถแทรคได้ว่าใครเป็นลูกค้าใหม่ของคุณบนเว็บไซต์ โดยคุณอาจจะลงทุนเพียงเล็กน้อย (เช่น if-so) หรือเพียงแค่ติดตั้ง cookie โดยทำผ่าน Google Tag Manager ที่ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชม. เป็นต้น

6. ไกด์บุคท่องเที่ยว (PDF)

"10 สถานที่สุดโรแมนติคใน [จังหวัดของคุณ]"
"10 กิจกรรมสุดหรรษาสำหรับครอบครัว ใน[จังหวัดของคุณ]"

คุณอาจจะเขียนบล็อกท่องเที่ยวบนเว็บไซต์โรงแรมและทำเป็นไฟล์ pdf ให้ดาวน์โหลดได้

PRO Tip >> เมื่อผู้ใช้อ่านบทความหรือดาวน์โหลดบทความจากทั้ง 2 บทความตัวอย่าง นั่นหมายความว่าผู้ใช้ได้แสดงตัวตนและความสนใจของเค้าออกมา จงใช้ข้อมูลนี้ให้เป็นประโยชน์ในการทำ retargeting

7. พันธมิตรร่วม (EXCLUSIVE 3RD-PARTY BENEFIT)

หาพาร์ทเนอร์ร่วมในพื้นที่ของคุณ เช่น ร้านอาหาร คาเฟ่/บาร์ แหล่งท่องเที่ยว จุดเช็คอิน อะไรก็แล้วแต่ โดยให้คูปองกับลูกค้าที่จองโรงแรม เป็นส่วนลดเมื่อไปใช้บริการสถานที่นั้นๆ ร้านค้าเหล่านั้นก็จะได้เป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้น ได้ประโยชน์ร่วมกันกับทางโรงแรม อย่าลืมใช้อำนาจการต่อรองนี้เพื่อให้ได้ดีลที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าบนเว็บไซต์ของโรงแรม

PRO Tip >> ต้องมั่นใจว่าเหล่าพาร์ทเนอร์ของคุณนั้นมีสิทธิพิเศษให้เฉพาะโรงแรมคุณเท่านั้น ไม่ได้เป็นพาร์ทเนอร์กับคู่แข่งหรือโรงแรมอื่นอีกมากมาย

Lead Magnets เป็นกลยุทธ์โรงแรมที่ทรงพลังที่ทำให้เกิดการตอบรับแบบต่างตอบแทน ซึ่งการตอบรับนี้มีศักยภาพ เป็นตัวโน้มน้าวที่กระตุ้นให้ผู้ใช้งานเว็บไซต์ของคุณรู้สึกอยากตอบแทนอะไรบางอย่างกลับไป นั่นก็คือผู้ใช้เหล่านี้จะทำการจองโรงแรมของคุณในท้ายที่สุดนั่นเอง

เคล็ดลับปิดท้าย

Lead-magnet โดยปกติจะเป็นการแจกของฟรีตอบแทน แลกกับการขออีเมล์ผู้ใช้งานแต่อย่างไรก็ดี การขออีเมล์ยังมีอุปสรรค ผู้ใช้งานที่มีโอกาสเป็นลูกค้าบางคนก็ละทิ้งไปอีกทางเลือกก็คือ (เหมือนที่เขียนไว้ในหัวข้อ 6) คุณแจก Lead-magnets ให้กับผู้ใช้งานโดยไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยนอีเมล์ แล้วทำ retargeting โดยใช้ Google หรือ Facebook เพื่อเรียกผู้ใช้งานเหล่านั้นกลับมายังเว็บไซต์โรงแรมของคุณ ให้เข้าสู่การเรียกลูกค้าในส่วนอื่นๆตามที่แนะนำไว้ข้างต้น

source: directyourbookings.com